เมนู

อธิบายว่า เมื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น
ด้วยบทว่า มา ปุน ชาติสํสารํ สนธาเวยฺยํ ปุนปฺปุนํ นี้ ท่านแสดง
ถึงอาการของความเบื่อหน่ายและความคลายกำหนัด ด้วยบทว่า ติสฺโส วิชฺชา
เป็นต้น แสดงการถึงที่สุดของอาการเหล่านั้น. ข้อนั้นมีนัยดังกล่าวแล้วแล.
จบ อรรถกถาอัฑฒกาสีเถรีคาถา

5. จิตตาเถรีคาถา


[424] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีร่างกายผ่ายผอม เป็นไข้
ทุพพลภาพหนัก ต้องถือไม้เท้าไปไหน ๆ ก็จริง ถึง
อย่างนั้นก็ยังขึ้นภูเขาได้ ข้าพเจ้าวางผ้าสังฆาฏิและ
คว่ำบาตร นั่งบนภูเขา ทำลายกองความมืดข่มตนไว้.

จบ จิตตาเถรีคาถา

5. อรรถกถาจิตตาเถรีคาถา


คาถาว่า กิญฺจาปิ โขมฺหิ กิสิกา เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรี
ชื่อ จิตตา.
แม้พระเถรีชื่อจิตตาองค์นี้ ก็สร้างสมบุญบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อนๆ สั่งสมกุศลที่เป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ จากภัทรกัปนี้
ไป 94 กัป บังเกิดในกำเนิดกินนร ที่ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา วันหนึ่งนางกินรี
นั้นเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ มีใจเลื่อมใส เอาดอก
อ้อมาบูชา ไหว้แล้วประคองอัญชลี ทำประทักษิณแล้วหลีกไป ด้วยบุญกรรมนั้น

นางท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปปาทกาลนี้เกิดในตระกูล
คฤหบดีมหาศาล กรุงราชคฤห์รู้ความแล้ว ได้ศรัทธาในกาลเสด็จเข้ากรุงราช-
คฤห์ของพระศาสดา ภายหลังบวชในสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมี ในเวลา
แก่ ได้ขึ้นเขาคิชฌกูฎทำสมณธรรมเจริญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัตพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า1
ข้าพเจ้าเป็นกินรีที่ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา ในกาล
นั้น ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี เป็น
พระสยัมภู ผู้อันใคร ๆ ให้แพ้ไม่ได้ ข้าพเจ้ามีจิต
เลื่อมใส ดีใจ ปลื้มใจ กระทำอัญชลีถือเอาดอกอ้อ
บูชาพระสยัมภู ด้วยกรรมที่ทำดีนั้น และด้วยความ
ตั้งใจมั่น ข้าพเจ้าละร่างกินรี ได้ไปสู่หมู่เทวดาชั้น
ไตรทศ ข้าพเจ้าได้เป็นมเหสีของเทวราช 36 องค์
ได้เป็นมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ 10 องค์ ข้าพเจ้า
มีจิตสังเวชจึงบวชเป็นบรรพชิต จากนี้ไป 94 กัป
ข้าพเจ้าเอาดอกไม้บูชา ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ นี้เป็นผล
แห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเผากิเลสแล้ว ฯลฯ
ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

ก็พระเถรีนั้น ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาการปฏิบัติของตน
ได้กล่าวคาถาสองคาถานี้ว่า
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีร่างกายผ่ายผอม เป็นไข้ทุพ-
พลภาพหนัก ต้องถือไม้เท้าไปไหน ๆ ก็จริง ถึงอย่าง
นั้นก็ยังขึ้นภูเขาได้ ข้าพเจ้าวางผ้าสังฆาฏิและคว่ำ
บาตร นั่งบนภูเขา ทำลายกองความมืดข่มตนไว้.

1. ขุ. 33/ข้อ 145 นฬมาลิกาเถรีอปทาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิญฺจาปิ โขมฺหิ กิสิกา ความว่า ถึง
แม้ข้าพเจ้า เป็นคนคร่ำคร่า เพราะชรา มีร่างกายฝ่ายผอม เพราะมีเนื้อและเลือด
น้อย. บทว่า คิลานา พาฬฺหทุพฺพลา ความว่า เป็นไข้เพราะธาตุเป็นต้น
พิการ ทุพพลภาพเหลือเกิน เพราะความไข้นั้นเอง. บทว่า ทณฺฑโมลุพฺภ
คจฺฉามิ
ความว่า เมื่อไปในที่ไหนๆ ย่อมถือไม้เท้าไป. บทว่า ปพฺพตํ
อภิรูหิย
ความว่า แม้เป็นอย่างนี้ก็ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพราะต้องการวิเวก.
บทว่า สงฺฆาฏึ นิกฺขิปิตฺวาน ความว่า เป็นผู้เหน็ดเหนื่อยจริงๆ
วางผ้าสังฆาฏิที่วางไว้บนบ่าตามที่พับไว้ ไว้ในหัตถบาส. บทว่า ปตฺตกญฺจ
นิกุชฺชิย
ความว่า วางบาตรดินสำหรับใช้สอยของข้าพเจ้าคว่ำไว้ในที่สมควร
แห่งหนึ่ง. บทว่า เสเล ขมฺเภสึ อตฺตานํ ตโมกฺขนฺธํ ปทาลิย ความ
ว่า นั่งบนภูเขา ทำลายกองโมหะที่ไม่เคยทำลายเป็นเวลายาวนาน ข่มตนคือ
อัตภาพ ด้วยการทำลายกองโมหะนั้นนั่นแล คือข่มสันดานของตน ด้วยให้ถึง
ความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา.
จบ อรรถกถาจิตตาเถรีคาถา

6. เมตติกาเถรีคาถา


[425] ข้าพเจ้ามีทุกข์ ทุพพลภาพ ผ่านความเป็นสาว
ไปแล้ว ต้องถือไม่เท้าไปไหน ๆ ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็
ยังขึ้นภูเขาได้ ข้าพเจ้าวางผ้าสังฆาฏิและคว่ำบาตร นั่ง
บนภูเขา ครั้งนั้นจิตของข้าพเจ้าหลุดพ้นแล้ว ข้าพเจ้า